10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง
ธุรกิจ
12 May 2020![10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง 10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง](https://locopack-files.s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/articles/1589216783_cover4.png)
เชื่อว่าหลายๆคนที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการให้ได้สักครั้งในชีวิต
อยากจะสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง... เพื่อขายสินค้าที่ตนชื่นชอบและสนใจ
ยังวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่า “เป็นเจ้าแบรนด์เองนั้นทำยาก” “ไม่ทราบขั้นตอน” หรือ “ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี” จนไม่ได้เริ่มต้นจริงๆจังๆกันเสียที
เพื่อช่วยให้คุณได้ “เริ่มต้น” กันได้และไขข้อข้องใจเพื่อก้าวสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์
สินค้าในหมวดหมู่เครื่องสำอาง
LocoPack เราได้ทำการสืบค้นและรวบรวมมาให้คุณกันแล้วครับ
กับบทสรุป 10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าแบรนด์เครื่องสำอาง
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_1.png)
1. วางแผนภาพรวม
วางแผนกว้างๆกันก่อนครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผิด เพราะสเต็ปแรกสุดนี้เป็นเพียงการวางแผนในภาพรวมที่สามารถปรับเปลี่ยนกันได้ในลำดับต่อไป ซึ่งในขั้นตอนนี้ขอให้คุณได้ลองคิด หรือจดโน๊ตย่อสั้นๆออกมากันก่อนว่าต้องการขายสินค้าชนิดไหน มีความโดดเด่นในด้านใด ต้องการขายสินค้าแก่ลูกค้ากลุ่มใด โดยอาจอิงเอาจากสินค้าที่ตนเองสนใจ ชื่นชอบ หรือมองว่ามีโอกาสเติบโต นอกจากนี้อย่าลืมวางแผนเรื่องต้นทุนไว้คร่าวๆ เพราะขั้นตอนต่อๆไป จะต้องนำเรื่องต้นทุนที่วางแผนไว้มาประกอบการพิจารณา
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_2.png)
2. ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ด้วยตนเอง
เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องเวลา เงินที่อาจเสียไปถ้าสินค้าที่คิดไว้ไม่เวิร์ค ไม่เป็นที่ต้องการ คุณก็ควรที่จะทำการศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ดูกันก่อน ก่อนที่จะลุยต่อในสเต็ปต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ง่ายๆครับ ลองเข้าไปสัมผัสกับกลุ่มสินค้า และตลาดลูกค้าของโปรดักส์ที่คุณประสงค์จะขาย เช่น ต้องการขายลิปสติกให้กับกลุ่มนักศึกษา หรือสาวๆวัยทำงาน ก็ลองส่องดูกันหน่อยไม๊ แต่ล่ะแบรนด์ที่จัดจำหน่ายลิปสติกเขากำหนดราคาไว้อย่างไร มีข้อดีข้อเสีย หรือใช้ช่องทางใดเป็นช่องทางในการจัดจำหน่าย หรือหากอยากขายครีม ผลิตภัณฑ์สกินแคร์เพื่อการบำรุงผิว การศึกษาตลาด ดู “เทรนด์” กันก่อน ช่วงนี้วัตถุดิบ หรือสารประกอบตัวใดที่กำลังเป็นที่นิยม
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_3.png)
3. รีเสริชข้อมูล หาผู้ผลิต
ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้อยากสร้างแบรนด์ของตนเอง เพราะในปัจจุบันที่โรงงาน ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และสกินแคร์มากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งมีบริการที่แตกต่างกันไป บ้างรับผลิต คิดค้นสูตร บ้างมีแพคเกจเพื่อการผลิต ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงทำมาร์เกตติ้งให้เสร็จสรรพ อย่างไรก็ตามก่อนจะเลือกโรงงานใดโรงงานหนึ่งเพื่อผลิตสินค้าให้กับคุณ LocoPack ก็ต้องแนะนำกันก่อนว่า ให้คุณศึกษาข้อมูล ตรวจดูรีวิว ความคิดเห็นของลูกค้าเก่าๆ ของแต่ละโรงงานกันก่อนให้ครบถ้วน เพื่อมองหาผู้ให้บริการที่เหมาะสมตรงใจ
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_4.png)
4. เลือกโรงงานที่วางใจ
นอกจากพิจารณาจากประสบการณ์ รีวิว ความคิดเห็นของลูกค้าเก่าๆของแต่ละโรงงานแล้วนั้น ในการตัดสินใจเลือกผู้ผลิต คุณต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึง ราคา ความปลอดภัย และมาตรฐาน โดยควรที่จะเลือกเฉพาะโรงงานที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตการจัดตั้ง ผ่านมาตรฐาน ISO เพื่อมั่นใจได้ว่าผู้ผลิตที่คุณเลือกใช้บริการ นั้นสามารถไว้ใจ และผลิตสินค้าคุณภาพให้คุณได้ได้ นอกจากนี้คุณอาจติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตเพื่อสอบถามข้อมูล และราคา โดยคำถามที่คุณควรสอบถามก็ได้แก่ ขอบเขตการให้บริการ ขั้นตอนของออร์เดอร์การผลิต ราคาต่อหน่วย ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น การขึ้นทะเบียนอ.ย. ไปจนถึงวิธีการจัดส่งสินค้า
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_5.png)
5. เลือก “สูตร” ผลิตภัณฑ์
มาถึงขั้นตอนสำคัญ เพื่อสร้างโปรดักส์ปัง เมื่อทำการเลือก “โรงงาน” กันได้แล้ว คุณก็ต้องทำการติดต่อ หรือเดินทางไปยังโรงงานเพื่อเลือก “สูตร” ที่เหมาะสม โดยโรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่มักมีสูตรมาตรฐานไว้อยู่แล้ว สำหรับเครื่องสำอางและสกินแคร์ประเภทต่างๆ ซึ่งหากสูตรเหล่านั้นตรงใจ ก็สามารถสั่งผลิตได้เลยทันที แต่หากคุณต้องการสูตรของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง หรือโดดเด่นกว่าสูตรมาตรฐานที่มีอยู่ ก็สามารถคุยกับผู้ผลิต เพื่อพัฒนาสูตรกันได้นะครับ
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_6.png)
6. เทสต์ๆ ก่อนตัดสินใจ
แม้ผู้ผลิตและโรงงานส่วนใหญ่มักมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรอยู่แล้ว แต่เพื่อให้สินค้าของคุณเป็นไปตามเป้าหมาย และความต้องการที่วางไว้ ก่อนการตัดสินใจเลือกสูตร ต้องมีการทดสอบ เทสต์ตัวผลิตภัณฑ์ก่อนเสมอ
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_7.png)
7. วางแผนมาร์เก็ตติ้ง
เมื่อได้สูตรโดนใจ ก็ได้เวลาสำหรับขั้นตอนสำคัญต่อมา นั่นก็คือเรื่องของการวางแผนมาร์เก็ตติ้ง! ซึ่งควรจัดการให้เสร็จกันแต่เนิ่นๆ เพราะการตั้งชื่อแบรนด์ โลโก้ บรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงจำนวนของสินค้าที่จะสั่งผลิตในแต่ละล็อต ก็ล้วนขึ้นอยู่กับการวางแผนมาร์เก็ตติ้งทั้งสิ้น
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_8.png)
8. คิดชื่อ ตั้งโลโก้ ออกแบบบรรจุภัณฑ์
ออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ ควรอิงกับผลิตภัณฑ์และแผนมาร์เก็ตติ้งที่วางไว้ โดยให้เน้นพิจารณาถึงกลุ่มลูกค้า เอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างชื่อแบรนด์ ออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้หากใครไม่มีประสบการณ์ สเต็ปนี้ LocoPack ขอแนะนำว่าคุณสามารถหาที่ปรึกษาด้านการตลาด นักออกแบบผลิตภัณฑ์กันได้นะครับเพราะผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ จะเข้าใจภาพรวมในการทำการตลาด เล็งเห็นถึงทิศทางการทำยอดขาย สร้างความโดดเด่นให้กับโปรดักส์และพร้อมจะให้คำแนะนำ ในประเด็นที่คุณเองอาจนึกไม่ถึงก็เป็นได้
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_9.png)
9. สั่งผลิตสินค้า และบรรจุภัณฑ์
เมื่อสูตรพร้อม ดีไซน์พร้อม ก็ได้เวลาทำฝันให้เป็นจริง ทั้งนี้โรงงานหลายแห่งพร้อมบริการการผลิตแบบครบวงจร คือบริการทั้งผลิตสินค้าและผลิตแพคเกจจิ้งให้เสร็จสรรพ แต่หากว่าดีไซน์แพคเกจจิ้งของโรงงานไม่โดนใจ หรือคุณมองหาไอเดียแปลกใหม่เพื่อสร้างความโดดเด่น การเลือกใช้บริการจากผู้ออกแบบและผลิตแพคเกจจิ้งจากแหล่งอื่นๆ ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น และแตกต่าง
![blogphoto](https://www.locopack.co/img/blog_detail/4_10.png)
10. เน้นพัฒนาแบรนด์ อัพยอดขายอยู่เสมอ
เพราะโลกของการตลาดไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เมื่อสินค้าพร้อม แผนการตลาดพร้อม คุณเองก็หยุดไม่ได้เช่นเดียวกัน การพัฒนาแบรนด์ หาช่องทางการทำการตลาด เพิ่มกลุ่มลูกค้า คือหน้าที่สำคัญที่ CEO หน้าใหม่จะลืมไปไม่ได้ ดังนั้นจงศึกษาเทรนด์ใหม่ๆอยู่เสมอ พัฒนาสูตร พัฒนาสินค้า ไปจนถึงหมั่นติดตามช่องทางการทำการตลาด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนโลโก้หรือบรรจุภัณฑ์ให้ต้องตาโดนใจของลูกค้าแต่ละช่วงสมัย ให้สินค้าของแบรนด์คุณดูดี เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ
Credit: Ladyissue.com
สนใจแพคเกจกจิ้งแบบนี้บ้าง
เริ่มเลยบทความที่เกี่ยวข้อง
ธุรกิจแพกเกจจิ้งออกแบบ 11 May 2020
การแข่งขันของธุรกิจ SME หรือเจ้าของแบรนด์รายย่อยในปัจจุบันนั้นมีอัตราความเข้มข้นสูงมาก นั่นก็เพราะสื่อโซเชียลที่เข้าถึงง่ายและครอบคลุม ทำให้คนที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าสักชิ้นเลือกตัวแทนผู้ผลิตและสร้างหน้าร้านออนไลน์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แล้วทำอย่างไรเราจะสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์จนโดดเด่น รวมถึงสร้างมูลค่าของสินค้าของเราให้แตกต่างจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆ ได้??? หนึ่งในคำตอบสำคัญก็คือการสร้างความประทับใจแรกด้วยแพคเกจจิ้งสวยๆ จากการเลือกใช้บริการรับผลิตกล่องนั่นเองครับ
ทำไมการทำกล่องแบรนด์ของตัวเองจึงเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจของเราได้ การเลือกใช้บริการรับผลิตกล่องมีข้อดีอย่างไร? ทำไมเจ้าของแบรนด์ถึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องกล่องบรรจุสินค้า? บทความของเราวันนี้จะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบพร้อมๆกัน กับ 3 สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อแบรนด์ของคุณเลือกใช้บริการรับผลิตกล่อง
1. แพคเกจกิ้งสวยงาม แปลกตา ไม่ซ้ำใครการออกแบบกล่องนั้น จะเริ่มต้นด้วยการคิดย้อนกลับถึงสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อไปถึงลูกค้าเสมอ เช่น ณ ขณะที่ลูกค้าเห็นสินค้าเราครั้งแรก อยากให้ลูกค้ารู้สึกอย่างไร? มองว่าตัวตนของแบรนด์เราเป็นอย่างไร? จากนั้นจึงนำไปต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และทำการดีไซน์กล่องกระดาษที่สวยงาม แปลกใหม่ รวมถึงเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้าให้มากที่สุด กล่องกระดาษที่ผ่านการออกแบบโดยผู้รับผลิตกล่องมืออาชีพจึงมีความสวยงาม แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ของแบรนด์และสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน สร้างความแตกต่างและโดดเด่นให้กับสินค้าตั้งแต่แรกเห็น หรือที่เราเรียกกันว่าการสร้างความประทับใจแรก (First impression) ให้กับกลุ่มลูกค้า ไม่เหมือนการใช้งานกล่องสำเร็จรูปทั่วไป2. ช่วยสร้างภาพลักษณ์และทำให้คนจดจำเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีกว่าเพราะการผลิตกล่องกระดาษแบบ Custom design หรือการสร้างดีไซน์ขึ้นมาเอง ทำให้เราสามารถใส่สีประจำแบรนด์ ชื่อแบรนด์ โลโก้ ฟอนต์ รวมถึงคำพูดที่เราต้องการสื่อสารกับลูกค้าลงไปบนแพ็คเกจได้อย่างอิสระ การออกแบบกล่องกระดาษโดยใช้อัตลักษณ์ของแบรนด์เหล่านี้ เป็นการสร้างภาพลักษณ์หรือคาแรกเตอร์ที่ทำให้คนที่พบเห็นจดจำแบรนด์ของเราได้ทันที หรือหากกลุ่มลูกค้าไม่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ของเรามาก่อน เมื่อได้เห็นแพคเกจกิ้งที่ถูกออกแบบด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจน ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกติดตาและจดจำชื่อแบรนด์ของเราได้ดีกว่าแพคเกจกิ้งกล่องกระดาษธรรมดาทั่วไป จนมีโอกาสที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะกลับมาเป็นลูกค้าและเลือกซื้อสินค้าของเราในอนาคต3. กล่องกระดาษดีไซน์เก๋ ช่วยเพิ่มยอดขายสั้นๆ ง่ายๆ แต่เป็นเรื่องเรื่องจริงที่สุด ลองยกตัวอย่างดูว่าหากคุณเจอโฆษณาบนหน้าเฟสบุ๊คของร้านค้า 2 ร้านที่ขายสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ร้านหนึ่งเป็นแพคเกจจิ้งธรรมดา ไม่มีความแปลกใหม่หรือสะดุดตา เราอาจเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ผ่านไปเฉยๆ แต่เมื่อมาเจออีกร้านที่ดีไซน์กล่องกระดาษได้เก๋และแปลกใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวดึงดูดให้เกิดความสนใจ และเพียงแค่เวลาไม่กี่วินาทีที่เราเลื่อนมาดูกล่องกระดาษสวยๆ นั้น ก็ทำให้เราได้อ่านข้อมูลสินค้าไปแล้วเรียบร้อย โอกาสในการขายสินค้าก็เพิ่มขึ้น ทำให้คนรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดการแชร์โพสท์ของเราต่ออีกด้วย
และนี่เองครับเป็น 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนเมื่อเราเลือกใช้บริการรับผลิตกล่อง เพราะปัจจุบันการใช้แพคเกจจิ้งแบบธรรมดานั้นไม่สามารถเพิ่มความได้เปรียบในการทำธุรกิจได้ เจ้าของแบรนด์จึงควรหันมาให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน รวมถึงการออกแบบและผลิตกล่องกระดาษ ที่เราจะนำมาใช้เป็นแพคเกจจิ้งของสินค้าด้วย เพราะแพคเกจจิ้งที่สวยงามคือความประทับใจแรกที่ลูกค้ามีต่อเรา ดังนั้นหากต้องการกล่องแพคเกจจิ้งที่สวย แปลกใหม่แบบมืออาชีพ การใช้บริการรับผลิตกล่องก็เป็นทางเลือกที่คุณไม่ควรมองข้ามครับ
Credit: designedbyjaclyn.com, pack168.com, Danilov Anton,
ธุรกิจแพกเกจจิ้ง 11 May 2020
16 ทริคสุดยอดการส่งพัสดุแบบมือโปร สำหรับพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์!! หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้า มนุษย์ออฟฟิศ ที่ทำธุรกิจออนไลน์ และมีความจำเป็นจะต้องส่งของผ่านทางไปรษณีย์อยู่บ่อยๆ ไม่ว่าสิ่งของที่อยู่ด้านในนั้นจะเป็นวัสดุแบบไหน หากอ่านคู่มือทั้งหมดนี้ไว้ก็อุ่นใจแน่นอน เพราะเราได้รวบรวมเคล็ดลับทั้งหมด 16 ข้อ ที่ได้กวาดเอาเทคนิคในการส่งพัสดุทั้งหมดรวมมาไว้ให้ในบทความนี้บทความเดียวเท่านั้น จากที่ใครหลายๆคนอาจจะกังวลใจไป ส่งพัสดุไปแล้วจะต้องให้คุกกี้ทำนายกันมั้ย..ว่าของที่ส่งไปผู้รับจะได้รับถึงมือในสภาพปลอดภัย 100% แน่นอน มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอให้ทุกคนปักหมุดไว้..แล้วแชร์วนไป คราวหน้าจะส่งพัสดุรับรอง ผู้รับจะต้องร้องโอ้โห Professional ที่แท้ทรู! 1. บับเบิ้ลดีต่อใจ ใช้รองกระแทกวนไปอุปกรณ์พื้นฐานยอดนิยมที่ผู้ที่คลุกคลีกับวงการส่งไปรษณีย์ต้องรู้! เพราะ “แผ่นรองกระแทก” หรือ “บับเบิ้ล” ไอเท็มขวัญใจเด็กๆ ที่ชอบเอาไว้บีบเล่นนั้น ไม่ได้มีดีแค่เป็นของเล่นอย่างเดียว แต่คุณสมบัติหลักๆของบับเบิ้ลนั้นจะช่วยดูดซับแรงกระแทกเมื่อสิ่งของทั้งหลายในกล่องเกิดการเขย่า หรือการกระแทกไปมา ทำให้คุณอุ่นใจไปอีกสเต็ปว่าของที่อยู่ภายในกล่องนั้นมีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ของด้านในจะเสียหายให้แล้ว เพราะฉะนั้น ก่อนจะส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงว่าหากถูกกระแทก หรือถูกโยนแล้วจะเสียหาย ให้ #ห่อบับเบิ้ลวนไป ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ บับเบิ้ลมีน้ำหนักเบา ถึงแม้จะห่อซัก 2-3 รอบ น้ำหนักก็ไม่ได้เพิ่มอะไรมาก ค่าส่งไปรษณีย์ก็ไม่ได้พุ่งพรวดอะไรไปมากด้วยเช่นกันครับ2. เลือกขนาดให้ถูกไซส์..อุ่นใจกว่าการเลือกขนาดกล่องให้ถูกไซส์กับตัวพัสดุนั้น นอกจากจะทำให้การห่อพัสดุนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และว่องไว ยังเป็นการลดความเสียหายของพัสดุด้านในอีกวิธีนึงอีกด้วย ทริคง่ายๆหากไปแพคของที่ไปรษณีย์หรือจะเป็นขนส่งเอกชน ให้ลองเทียบไซส์จากของที่เรามีกับกล่องที่มีให้เราเลือก หากไม่แน่ใจ แนะนำว่าลองวางพัสดุแล้วห่อหุ้มดูว่าเหลือที่ว่างเยอะมั้ย หากที่ว่างยังเหลือมากขนาดที่เราลองเขย่าแล้วยังมี Space อีกเพียบ แนะนำให้เปลี่ยนขนาดกล่องให้ไว เพราะว่ายิ่งมี Space เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่สิ่งของนั้นจะกระแทกไปมาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย อีกวิธีคือการใช้บริการรับผลิตกล่อง ให้ขนาดของกล่องไปรษณีย์พอดีกับขนาดพัสดุของเรา วิธีนี้นอกจะจะช่วยลดขนาดที่ว่างภายในกล่องที่ไม่จำเป็นแล้ว อาจจะช่วยประหยัดค่าส่งสินค้าได้ด้วยเนื่องจากบริษัทขนส่งเอกชนหลายๆที่ คิดค่าจัดส่งตามขนาดกล่อง กว้าง + ยาว + สูง นั่นเองครับ3. มาตรฐานของกล่องเป็นอย่างไร..ไปเช็คกัน!สายหวั่นไหวกับของถูก อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป หากจะส่งของไปให้ใครก็ตามยิ่งเป็นในระยะทางไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานของกล่องมากขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นเพราะการเลือกกล่องพัสดุ ยิ่งมีราคามากขึ้นเท่าไหร่ กล่องก็จะยิ่งมีมาตรฐานดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องมาตรฐานของกล่องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป อย่าเลือกแค่มีเกณฑ์การตัดสินที่ว่า “ของมันถูก” คุณภาพที่คุณได้ก็จะถูกตามไปด้วย แต่ความเสียหายที่ได้มา อาจจะต้องเสียเงินเพิ่มแบบไม่คุ้มค่าด้วย หากอยากได้กล่องดีมีมาตรฐาน อย่าลืมมองหา Supplier รับผลิตกล่องที่มีมาตรฐาน ไว้ใจได้กันด้วยนะครับ4. เลือกกล่องใหม่ไฉไลกว่ารียูสเข้าใจว่าเรื่องของการรักษ์โลกมันต้องมา แต่หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์มืออาชีพแล้ว เราแนะนำให้ใช้กล่องใหม่จะไฉไลกว่า คุณจะได้เครดิต ภาพลักษณ์ที่ดีว่าสั่งของจากร้านนี้ใช้กล่องใหม่ได้คุณภาพนะ นอกจากนี้ที่สำคัญคือ 70% นั้น คือ ตัวเลขของการรองรับการกระแทกหากใช้พัสดุใหม่ที่ไร้รอยแตก รอยพับ เพราะฉะนั้น หากมีโอกาสเลือก ให้เลือกกล่องใหม่เพื่อความคุ้มค่า พัสดุถึงทันใจไม่ต้องมานั่งกังวลกับค่าเสียหายภายหลังนะครับ5. หากใช้กล่องรียูสก็ต้องให้โฟมช่วย หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กล่องรียูสส่งพัสดุ โดยเฉพาะในเคสที่สิ่งของในกล่องมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แนะนำให้ใช้โฟมนำมารองไว้ที่มุมต่างๆ ของกล่องพัสดุ เพราะจะเป็นการรองรับการกระแทกได้เป็นอย่างดี ทำให้พัสดุที่ส่งไปมีความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง 6. เลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมเพราะการเลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆที่จะต้องคำนึงถึง เนื่องจากกล่องพัสดุแต่ละกล่องนั้นใช้กระดาษที่ไม่เหมือนกัน ความหนา จำนวนชั้นก็ต่างกัน เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติการกันกระแทก หรือความอยู่ทน อยู่นานที่ถูกออกแบบมาอย่างแตกต่างกัน เช่น การบรรจุสิ่งของที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้กล่องที่มีความหนา 5 ชั้นแทน เป็นต้น หากคุณไม่แน่ใจ เราแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือจะปรึกษาเราดูก่อนก็ได้ครับว่าสินค้า น้ำหนักและขนาดเท่านี้ ควรจะใช้กล่องประเภทไหน ถึงจะบรรจุสินค้าได้อย่างเหมาะสมที่สุดครับ7. แพ็คให้เหมาะกับสภาพฝนฟ้าอากาศบางคนอาจจะงงว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่จะบอกว่า สภาพอากาศเป็นอีกปัจจัยสำคัญถ้าคิดจะส่งพัสดุ ลองคิดภาพตามดูง่ายๆว่า ต่อให้แพ็คของอย่างแน่นหนามากแค่ไหน แต่ดันต้องส่งของในช่วงหน้าฝน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เราจะสามารถทำให้พัสดุด้านในนั้นปลอดภัยได้อย่างไรบ้าง หากพัสดุเปียกน้ำแล้วจะเสียหายมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเคสที่พัสดุข้างในเป็นกระดาษ หรือวัสดุที่เปียกชื้นแล้วจะสร้างความเสียหายมาให้ แนะนำให้ใส่พลาสติกกันไว้อีกชั้น..จะได้อุ่นใจมากขึ้นกับการส่งพัสดุฝ่าหน้าฝนไปได้ชิลๆครับ8. จัดการทิศทางและพื้นที่ให้ดี“การจัดการที่ดี” ใครว่าไม่สำคัญ เพราะการจัดการนั้นเอามาใช้ได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการส่งพัสดุ ในกรณีที่มีการส่งพัสดุมากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไปในกล่องเดียว ควรจะจัดวางเผื่อการกระแทก การชนกันของวัตถุด้วย ลองนึกดูจากกรณีง่ายๆว่าถ้าวางของไปผิดทิศทาง สิ่งของที่อยู่ในนั้นก็อาจจะทิ่มทะลุกัน หรือกระแทกกันจนแตกทำให้ความเสียหายเพิ่มคูณ 2 ได้ หรือหากต้องส่งพัสดุที่มีน้ำหนักมากหลายชิ้น ก็ควรวางกระจายน้ำหนักให้ดี ไม่ให้จุดใดจุดหนึ่งของกล่องต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และควรใส่ของที่มีน้ำหนักเยอะไว้ด้านล่างของที่มีน้ำหนักเบา เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งของด้านในทับกันเสียหายด้วยนะครับ9. บางครั้งอาจจะพึ่งผู้เชี่ยวชาญบ้างหากจำเป็นต้องส่งพัสดุที่สำคัญ แต่ประสบการณ์ส่งของดัน..มีไม่มากพอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายของพัสดุ เราควรจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นพนักงานของทางไปรษณีย์ หรือบริษัทที่รับส่งพัสดุโดยตรงเลยก็ได้ ดังนั้น อย่าลืมว่าหากเป็นครั้งแรกๆของคุณtoและไม่อยากพลาด แนะนำว่าให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า เพื่อให้มั่นใจได้ว่า พัสดุที่จะส่งไปนี้ไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน 10. ติดป้าย FRAGILE ก็ปลอดภัยไปอีกระดับหากจะต้องส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงที่โยน กระแทกแล้วจะทำให้พัสดุเสียหาย หรือแตกกระจายได้ แนะนำให้ติดป้าย FRAGILE ที่ทางไปรษณีย์หรือบริษัทเอกชนมักจะมีให้ในบางที่ ตรงนี้ก็จะเพิ่มเลเวลความระมัดระวังของผู้ส่งของให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นสติกเกอร์ที่บอกเป็นนัยๆว่าของแตกหักง่ายนะ ห้ามโยนโดยเด็ดขาด หรือหากไม่มีจริงๆก็อาจจะเขียนข้อความตัวใหญ่ๆ ด้วยภาษาไพเราะๆ ให้ง่ายต่อการมองเห็น พนักงานที่ส่งพัสดุเห็นก็จะได้ไม่โยน ไม่กระแทกกล่องไปรษณีย์ของเรา แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าต่อให้ติดสติ๊กเกอร์หรือเขียนอะไรไว้ก็แล้วแต่ บางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจจากพนังงาน เราจึงต้องใช้เทคนิคอื่นๆประกอบด้วย เพื่อให้พัสดุเราปลอดภัยจนถึงมือผู้รับนะครับ11. ตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องอีกวิธีง่ายๆที่ใช้ในการตรวจสอบความแน่นหนาของพัสดุ จะได้รู้ว่าเราแพ็คดีพอหรือยัง แน่นหนาพอที่จะรองรับการกระแทกได้หรือยัง ในกรณีนี้หากตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องแล้ว ของด้านในยังเลื่อนไปมาได้อยู่ แนะนำให้เปลี่ยนไซส์กล่องกระดาษ หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือโฟมกันกระแทกยัดไว้ในช่องว่างที่มีในตัวกล่อง เพื่อเพิ่มเลเวลความมั่นใจในการส่งไปอีกระดับนะครับ12. อุปกรณ์แหลมคมมีโฟมกันไว้ได้ใจผู้รับหากมีความจำเป็นที่จะต้องส่งอุปกรณ์แหลมคม เช่น กรรไกร มีด กรรไกรตัดกิ่ง จอบ เสียม ที่มีคม แนะนำให้ใส่โฟมกันกระแทกไว้ที่ตรงปลายแหลมคมเป็นลำดับแรก ต่อจากนั้นอาจจะหุ้มต่อด้วยบับเบิ้ล กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือจะเป็นพลาสติกกันกระแทกในรูปแบบต่างๆให้เรียบร้อย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับพัสดุไปอีกระดับ เพราะอุปกรณ์แหลมคมไม่เข้าใครออกใคร หากจะต้องเคลื่อนย้าย หรือถูกกระแทกนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะไปทิ่มแทงกล่องให้ขาดได้ง่ายๆด้วยนะครับ13. ห่อถุงพลาสติกอีกชั้นสำหรับส่งของเหลวหากต้องส่งสินค้าที่เป็นของเหลว เช่น น้ำหอม ครีม เจลต่างๆ ที่บรรจุภัณฑ์มาในรูปแบบขวด และเสี่ยงต่อการโดนกระแทกและแตกหากเกิดการโยน ควรจะใช้เทปติดตรงฝาหรือจุกไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝาหรือจุกหลุดออกมาระหว่างขนส่ง ห่อด้วยบับเบิ้ล แล้วใส่ถุงพลาสติกที่มีซิปล็อคทับแยกชิ้นไปเลย เพื่อความปลอดภัย เพราะหากเกิดการแตกระหว่างขนส่ง พัสดุที่ห่อแยกชิ้นจะทำให้การแตกกระจายของของเหลวนั้น ยังรั่วซึมอยู่ในถุงพลาสติกที่ห่อหุ้ม จะได้ไม่ปนกันกับของเหลวชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มความเสียหายให้ทวียิ่งขึ้นไปได้14. ติดเทปกาวบนกล่องรูปตัว Hเทคนิคนี้จะใช้สำหรับกล่องฝาชน วิธีการคือ ให้แปะเทปกาวขั้นแรกตรงช่องกลางระหว่างกล่อง ที่ฝาสองด้านมาบรรจบกัน ขั้นตอนต่อไปก็คือ ให้ใช้เทปกาวแปะตรงขอบกล่องพัสดุทั้งสองด้านโดยแปะยาวลงมา เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น เราก็ได้ให้ความมั่นคง แน่นหนาแก่พัสดุไปอีกระดับ แต่เทปกาวขอให้ใช้เป็นเทปกาวที่หนา และใหญ่ สามารถครอบคลุมพื้นที่ของพัสดุให้ยึดติดกันได้ด้วยนะครับ15. ซื้อประกันลดความเสี่ยงหากจะต้องส่งพัสดุที่เสี่ยงต่อการแตกหัก เสียหาย นอกจากวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เรายังสามารถลดความเสี่ยงค่าเสียหายได้ด้วยการซื้อวงเงินการรับประกันเพิ่มเติม เช่น การส่งทาง EMS สามารถซื้อประกันเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 50,000 บาท ซึ่งผู้ที่เป็นตัวกลางส่งของให้ มักจะมีเงื่อนไขในการรับผิดชอบความเสียหายของพัสดุและการซื้อประกันเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทจะกำหนด ให้ลองศึกษาเงื่อนไขและข้อตกลงดูดีๆก่อนซื้อประกันนะครับ16. ใส่เบอร์โทรทั้งสองฝ่ายไว้ ประสานงานได้ไวขึ้นไม่ว่าคุณจะส่งพัสดุกับไปรษณีย์ หรือกับบริษัทเอกชน สิ่งเล็กน้อยที่คุณไม่ควรจะมองข้ามไปนั่นก็คือ การใส่เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับ และผู้ส่ง ที่ปัจจุบันมักจะมีช่องให้กรอกเบอร์โทรศัพท์อยู่แล้ว หากมีเบอร์สำรองก็ใส่ไปด้วยก็ดีครับ อย่าลืมตรวจเช็คให้ดีว่าต้องเป็นเบอร์ที่สามารถติดต่อได้นะครับ หากมีเหตุขัดข้องอะไร หรือคนส่งพัสดุที่ไปถึงที่แล้ว จะได้สามารถติดต่อผู้รับได้ทันใจ ตรงนี้ก็จะทำให้การส่งพัสดุมีความราบรื่นมากขึ้นนะครับ ทั้ง 16 ข้อนี้ถือเป็นคัมภีร์ฉบับขั้นสุดยอด หากทำตามข้อปฏิบัติพวกนี้ได้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง ทำให้สินค้าที่ส่งผ่านทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชนนั้นจะไปถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น หากคุณกำลังมองหาผู้รับผลิตกล่องไปรษณีย์ที่มีมาตรฐาน หรือต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์บนกล่องไปรษณีย์ อย่าลืมลองมาปรึกษา LocoPack ดูก่อนนะครับCredit: YouTube/thailandpostchannel, brandbuffet.in.th
ธุรกิจแพกเกจจิ้งออกแบบ 11 May 2020
สำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือผู้ที่สนใจอยากเริ่มต้นที่จะทำธุรกิจ ที่อยากประสบความสำเร็จ คงหนีไม่พ้นการทำให้ตัวสินค้าออกมาให้ดี ออกแบบได้สะดุดตาผู้บริโภค ดูน่าซื้อ ดูคุ้มค่าที่จะเสียเงินซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปใช้
แต่นอกจากสินค้าที่มีคุณภาพดีแล้ว หลายครั้งที่สินค้าของเราอาจมีคุณภาพไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดมากเท่าไหร่นัก สิ่งที่จะเสริมเติมแต่งทำให้สินค้ามีมูลค่าและน่าซื้อมากขึ้น อาจจะไม่ใช่การนำเสนอด้าน Function การใช้งาน แต่เป็นการเสริมด้าน Emotion มากกว่า เพราะต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของคนเรา บางครั้งเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลในการที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ใช้ “อารมณ์” มากกว่า
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจ
คำถามที่พบบ่อยของผู้ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ นั่นคือ เราจะออกแบบบรรจุภัณฑ์อย่างไรให้ผู้บริโภครู้สึกอยากซื้อสินค้า?
ต้องสีจัดๆ ตัวเลขตัวหนังสือใหญ่ๆ หรือต้องโชว์สินค้า? ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ออกแบบ ที่จะทำให้สินค้าของเราดูโดดเด่นน่าซื้อ
การออกแบบไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงประสิทธิผลที่จะตามมาอีกด้วย เช่น ถ้าออกแบบกล่องมาแล้วสวย แต่ขายของไม่ได้ก็ถือว่าไม่ได้ผล อาจจะตอบโจทย์ผู้ออกแบบ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์เจ้าของแบรนด์
นั่นเป็นเหตุผลที่จะต้องออกแบบให้สินค้าและแพคเกจจิ้งดูมีมูลค่าขายด้วยตัวเองได้ เห็นแล้วสื่อสารถึงการใช้งานได้จริงๆ น่าเชื่อถือ สวยสะดุดตา ถึงจะได้มาในเรื่องของยอดขาย วันนี้เราเลยขอนำเสนอ 4 หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ
1. บรรจุภัณฑ์ที่ดูแล้วกระแทกตากระแทกใจเวลาที่สินค้าของเราวางอยู่บนชั้นที่รายล้อมไปด้วยสินค้าที่เหมือนๆกัน ลูกค้าจะกวาดสายตามองไปบนชั้นเพื่อหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่การที่จะทำให้สินค้าของเราโดดเด่น มองเห็นได้ง่ายบนชั้นวาง และหยุดสายตาของลูกค้าไว้ได้นั้น เราต้องวิเคราะห์ตลาดก่อนว่าสินค้าของคู่แข่งที่วางอยู่บนชั้นวางเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น Concept การออกแบบหมากฝรั่ง Trident สนุกๆของ Hani Douaji ที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยการวางหมากฝรั่งให้เรียงตัวสวยเหมือนฟันบน Background สีชมพูที่มองดูเหมือนเหงือก โดยลูกค้าสามารถเอาแพคเกจจิ้งไปวางปิดปากเอาไว้ เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มเห็นฟันอยู่ ซึ่งก็สื่อถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการเคี้ยวหมากฝรั่งว่าถ้ามี Trident อยู่ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องช่องปากไม่สะอาด ยิ้มแล้วจะมีอะไรติดฟัน ทำให้ตัวบรรจุภัณฑ์โดดเด่นขึ้น และ ทำให้การออกแบบบรรจุภัณฑ์นี้ ได้รับการชื่นชมจากกระแสโลกออนไลน์ อยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว2. ดึงดูดผู้ที่สนใจจะซื้อด้วยแพคเกจจิ้งบรรจุภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดที่โดดเด่น อาจจะโดดเด่นด้วยสี หรือการดีไซน์ แต่ผู้บริโภคอาจจะต้องการอะไรมากกว่านั้นเหมือนกับ Concept บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารของ Ian Gilley ที่มองเห็นถึงปัญหาของผู้บริโภค โดยต้องการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยแนวความคิดนี้ได้มาจากการที่ผู้บริโภคใช้ชีวิตเร่งรีบ จะถืออาหารสองมือก็ไม่ค่อยถนัด อีกทั้งปริมาณขยะในแต่ละวันของร้านอาหาร Fast food ก็เยอะมาก Ian Gilley เลยได้คิดค้นบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษบีบอัดที่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานจริง เห็นแล้วน่าสนใจ
รวมกับวัสดุที่ใช้ ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้น่าสนใจและตอบโจทย์คนที่ใช้ชีวิตรีบๆและจำเป็นต้องทานอาหารฟาสต์ฟู้ด
3. การสื่อสารได้ดีและบอกสิ่งที่เราแตกต่างจากคู่แข่งบรรจุภัณฑ์ที่ดีจะต้องสื่อสารได้ แม้วางเฉยๆก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งนี้คืออะไร เช่น การใช้ภาพสื่อถึงการใช้งาน หรือการมีข้อความที่บอกถึงประโยชน์การใช้งานได้ภายในหนึ่งประโยค และถ้าสินค้าเรามีจุดแข็งในมุมที่แตกต่างจากคู่แข่ง เราควรงัดสิ่งนั้นออกมาให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างอย่างไร เช่น ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หูฟังจาก Panasonic ที่ออกแบบโดย Scholz And Friends agency
แนวคิดมาจากการที่ต้องการสื่อสารความต่างของคุณภาพหูฟังรุ่นนี้ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็น passionate music lovers ด้วยการออกแบบที่พันสายและวางเรียงหูฟังเป็นรูปโน๊ตตัวที่แปดสองตัว ทำให้หูฟังชิ้นนี้ดูแล้วเข้าใจได้เลยทันทีว่า เหมาะกับการใช้ฟังเพลง โดยใช้กล่องใสที่ทำให้เห็นตัวสินค้าภายใน ทำให้สินค้าสื่อสารได้ด้วยตัวเอง ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและได้รับรางวัลการออกแบบ Cannes Lions 2010 Gold winners เลยทีเดียว4. มอบความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือ สะท้อนจากภายในสู่ภายนอกโจทย์ของการออกแบบผลิตภัณฑ์อาหารสดก็คือทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเชื่อว่า อาหารที่อยู่ภายใน สด สะอาด ปลอดภัย จริงๆ ถ้าแบรนด์ไหนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคได้ ก็จะทำให้ผู้บริโภทมั่นใจที่จะหยิบสินค้าของแบรนด์นั้นๆมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ของ S-Pure ที่ใช้ถาดสีขาวประกอบกับแถบคาดที่สื่อสารประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ โดยใช้ข้อความเน้นย้ำเรื่องความสด สะอาด ปลอดภัย เน้นออกแบบให้ดูสะอาด ดูคลีน แล้วโชว์สินค้าให้เห็นชัดๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นและมั่นใจที่จะเลือกซื้อสินค้าจาก S-Pure มากขึ้น
หวังว่าทั้ง 4 หัวข้อในบทความนี้ คุณสามารถนำไปปรับใช้และนำไปเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของคุณ เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นได้ หากคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ที่สนใจปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์บรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขาย อย่าลืมมาปรึกษา LocoPack ดูก่อนนะครับ เรารับผลิตกล่อง รับออกแบบบรรจุภัณฑ์ ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น เพื่อยอดขายที่เติบโตเพิ่มมากขึ้นครับ
Credit: designbridge.com , behance.net , behance.net , coloribus.com